Electrolytes Edge นักวิ่งกับการรักษาระดับอิเล็กโทรไลต์

Electrolytes

Electrolytes เป็นกลุ่มแร่ธาตุที่ช่วยควบคุมการหดตัวของกล้ามเนื้อ ลำเลียงสารอาหารไปยังเซลล์ รวมถึงควบคุมสมดุลของเหลวในร่างกาย หากขาดความสมดุล ร่างกายจะเริ่มฟ้องด้วยการแสดงอาการต่างๆ ซึ่งมันคงจะไม่สนุกเลยหากเกิดขึ้นในระหว่างวิ่ง โดยเฉพาะในช่วงสำคัญระหว่างการแข่งขัน

💧 อิเล็กโทรไลต์ (Electrolytes) ⚡️คือกลุ่มของแร่ธาตุที่มีประจุไฟฟ้าบวกและลบที่มีความสำคัญอย่างมากต่อระบบการทำงานของกล้ามเนื้อและหัวใจประกอบไปด้วย

✳️ โซเดียม (Sodium) ช่วยรักษาความสมดุลของปริมาณของเหลวในร่างกาย

✳️ โพแทสเซียม (Potassium) ช่วยควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจ การทำงานของกล้ามเนื้อ

✳️ คลอไรด์ (Chloride) ช่วยควบคุมสมดุลของเหลวของเซลล์

✳️ แคลเซียม (Calcium) ช่วยควบคุมกล้ามเนื้อ

✳️ แมกนีเซียม (Magnesium) การทำงานของระบบประสาทหัวใจกล้ามเนื้อ

ซึ่งกลุ่มแร่ธาตุเหล่านี้ต่างช่วยควบคุมการหดตัวของกล้ามเนื้อ ลำเลียงสารอาหารไปยังเซลล์ รวมถึงควบคุมสมดุลของเหลวในร่างกาย การทำงานของระบบประสาท หลอดเลือด ตลอดจนไปถึงจังหวะการเต้นของหัวใจ ในขณะที่เราออกกำลังกาย กลไลของร่างกายจะกระตุ้นให้เกิดเหงื่อเพื่อลดอุณหภูมิแกนกลางของร่างกายให้อยู่ภาวะที่เหมาะสม จังหวะนี้เองเป็นช่วงที่ทำให้เราสูญเสียอิเล็กโทรไลต์ออกมาพร้อมกับเหงื่อโดยเฉพาะโซเดียมและคลอไรด์ หากชดเชยกลับไม่ทันอาจเกิดภาวะความไม่สมดุลของอิเล็กโทรไลต์ (Electrolyte Imbalance)

สัญญาณที่เตือนว่าเรากำลังสูญเสียอิเล็กโทรไลต์มากจนทำให้เกิดความไม่สมดุลของระบบต่างๆภายในร่างกาย

🔻กล้ามเนื้อเป็นตะคริว เกิดจากการสูญเสียโพแทสเซียมและแมกนีเซียมส่งผลต่อการหดตัวและการกระตุกของกล้ามเนื้อ

🔻ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน เหนื่อยล้า ไม่มีแรง พักแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น หัวใจเต้นเร็ว หรือเต้นผิดจังหวะ จากภาวะอิเล็กโทรไลต์ไม่สมดุล

เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะ Electrolyte Imbalance วางแผนการเติมและซ้อมให้คุ้นชิน

การเติมน้ำและเกลือแร่ก่อนวิ่ง

ดื่มน้ำและเกลือแร่ให้พอเหมาะล่วงหน้า ประมาณ 500-750 ml. ก่อนวิ่งประมาณ 1-2 ชั่วโมง สำหรับกรณีที่เป็นการวิ่งระยะไกล (Long Run >90 mins) ดื่มเครื่องเกลือแร่ 500 ml. ก่อนวิ่ง 30-60 นาที หรือจะทานเป็นประเภทซุปเค็ม หรือขนมเค็มๆก็ย่อมได้

⚠️ ระวังทานน้ำเปล่ามากเกินไป อาจส่งผลให้เกิดภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ

การเติมน้ำและเกลือแร่ระหว่างวิ่ง

ควรจิบน้ำและเกลือแร่ทุกๆ 15-20 นาที หรือทุกๆ 2-3 กิโลเมตร หรือกรณีเป็นเกลือเม็ดสามารถขยับเป็นทุกๆ 30-45 นาทีได้ (หากไม่มีเกลือแร่สามารถใช้เจลพลังงานที่มีโซเดียมทดแทนได้)

⚠️ สภาพอากาศร้อนชื้น เพิ่มความถี่ในการจิบน้ำและเกลือแร่เพราะเสียเหงื่อมาก แต่สภาพอากาศเย็นแห้ง ยังคงต้องจิบน้ำและเกลือแร่แม้จะไม่รู้สึกกระหายน้ำเพียงความถี่อาจจะไม่เท่าอากาศร้อน

การเติมน้ำและเกลือแร่หลังวิ่ง

ดื่มน้ำและเกลือแร่ให้ได้ประมาณ 1.5 เท่าของน้ำหนักที่เสียไป โดยการเฉลี่ยดื่มไปเรื่อยๆหลังวิ่ง

✳️ อาหาร ขนมที่มีส่วนผสมของน้ำก็สามารถถูกมัดรวมเป็นน้ำที่เติมเข้าสู่ร่างกายได้ การทานซุปเค็มหลังวิ่ง ก็สามารถนับรวมได้เช่นกัน อีกทั้งควรทานอาหารที่มีอิเล็กโทรไลต์สูง เช่น กล้วย (โพแทสเซียม) ถั่ว (แมกนีเซียม) นม (แคลเซียม)

โดยสรุป

🟡 ก่อนวิ่ง: ดื่มเกลือแร่ 500 ml. ก่อนวิ่ง 30-60 นาที

🟢 ระหว่างวิ่ง: เติมเกลือแร่ทุก 15-20 นาที (อากาศร้อน: ทุก 10-15 นาที อากาศเย็น: ทุก 20-30 นาที)

🔵 หลังวิ่ง: เติมน้ำและเกลือแร่ 1.5 เท่าของน้ำหนักที่เสียไป

❇️ สำคัญที่สุด: ซ้อมเติมให้เหมือนวันแข่งจริง (ฝึกซ้อมดื่มเกลือแร่แบรนด์ที่สนามแข่งจัดเพื่อเทรนร่างกายให้คุ้นเคยกับเกลือแร่) ❇️

✳️ข้อมูลเพิ่มเติม✳️

⚡️เครื่องดื่มเกลือแร่ทั่วไป 500 ml. ปริมาณโซเดียม ประมาณ 110-160 mg./ขวดหรือหน่วยบริโภค

⚡️เกลือเม็ด หรือเม็ดเกลือแร่ (Salt Tablets/ Electrolyte Capsules) ปริมาณโซเดียม ประมาณ 100-500 mg./เม็ด